สถิติพื้นฐาน
สถิติพื้นฐาน
เรื่อง : การศึกษาเจตคติที่มีต่อมหาวิทยาลัยของนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้วิจัย : รองศาสตราจารย์อังคณา สายยศ
ปี : 2539
หน่วยงาน : ภาควิชาการวัดผลและวิจัยการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
1. ค่าสถิติพื้นฐานที่เกี่ยวกับการวัดเจตคติต่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้วิจัยได้นำผลจากการตอบแบบสอบถามวัดเจตคติต่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒไปวิเคราะห์หาค่าสถิติพื้นฐานด้านคะแนนเฉลี่ยและคะแนนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยวิเคราะห์รวมทุกด้าน และจำแนกแต่ละด้านของเจตคติ ตลอดจนจำแนกตามตัวแปรที่ศึกษา ดังตาราง 2 ถึง ตาราง 6 ดังนี้
ตาราง 2 ค่าสถิติพื้นฐานของการวัดเจตคติที่มีต่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำแนกตามวิทยาเขตและรวมทั้งสองวิทยาเขต
เจตคติ |
ประสานมิตร |
ภาคใต้ |
รวม |
|||
|
sd |
|
sd |
|
sd |
|
ด้านการเรียนการสอน |
2.5815 |
0.3810 |
2.6565 |
0.3620 |
2.5985 |
0.3780 |
จากตาราง 2 เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยปรากฏว่า นิสิตประสานมิตรทั้งหมดมีเจตคติต่อมหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างคะแนน 2.1145 ถึง 2.8765 หรืออยู่ในมาตรการวัดประมาณ 2 ถึง 3 นั่นคือนิสิตประสานมิตรมีเจตคติต่อมหาวิทยาลัยอยู่ในเกณฑ์น้อยถึงดี โดยมีเจตคติที่อยู่ในเกณฑ์มากหรือดีคือด้านอาจารย์ ผู้บริหาร และการเรียนการสอน ตามลำดับ สำหรับนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒภาคใต้นั้น มีเจตคติอยู่ระหว่างคะแนน 2.1285 ถึง 2.8970 หรืออยู่ในมาตรการวัดประมาณ 2 ถึง 3 เช่นเดียวกับวิทยาเขตประสานมิตร โดยมีเจตคติอยู่ในเกณฑ์ดีคือด้านอาจารย์ ผู้บริหาร และการเรียนการสอน ตามลำดับ และเจตคติอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีคือ ด้านการบริการ และด้านอาคารสถานที่ เมื่อพิจารณารวมทั้งสองวิทยาเขตก็ปรากกว่า ได้ผลเช่นเดียวกัน คือมีคะแนนเจตคติต่อมหาวิทยาลัยอยู่ระหว่าง 2.1485 ถึง 2.8810 โดยมีเจตคติที่ดีในด้านอาจารย์ ผู้บริหารและการเรียนการสอน ตามลำดับ และมีเจตคติที่ไม่ไดีในด้านการบริการและอาคารสถานที่ และเมื่อพิจารณาเจตคติต่อมหาวิทยาลัยรวมทุกด้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิทยาเขตประสานมิตรหรือวิทยาเขตภาคใต้ จะมีเจตคติต่อมหาวิทยาลัยอยู่ในเกณฑ์ดี คือมีคะแนนประมาณ 2.5 คะแนน ซึ่งอยู่ในมาตราที่มีเจตคติที่ดีต่อมหาวิทยาลัย
สำหรับการกระจายของคะแนนของข้อมูลนั้นจะพิจารณาจากค่าคะแนนเบี่ยงเบนมาตรฐานมาตรฐาน ซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง 0.3620 ถึง 0.5380 นั่นคือมีค่าอยู่ประมาณ 0.3 ถึง 0.5 ทุกด้านและรวมทุกด้าน แสดงว่าคะแนนข้อมูลมีการกระจายน้อย นั่นคือกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเจตคติต่อมหาวิทยาลัยใกล้เคียงกัน
ตาราง 3 ค่าสถิติพื้นฐานของการวัดเจตคติที่มีต่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำแนกตามวิทยาเขตและระดับชั้นเรียน
ระดับชั้น |
เจตคติ |
ประสานมิตร |
ภาคใต้ |
||
|
sd |
|
sd |
||
ปริญญาตรี |
ด้านการเรียนการสอน |
2.4560 |
0.3315 |
2.6735 |
0.3535 |
รวม |
2.4221 |
0.3288 |
2.5600 |
0.3155 |
|
บัณฑิตศึกษา |
ด้านการเรียนการสอน |
2.7655 |
0.3750 |
2.5420 |
0.4000 |
รวม |
2.6058 |
0.3011 |
2.3823 |
0.3542 |
จากตาราง 3 เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยของเจตคติต่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในวิทยาเขตประสานมิตร และวิทยาเขตภาคใต้ของแต่ละด้านและรวมทุกด้านของเจตคติแล้วพบว่า ทั้งนิสิตระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษามีคะแนนอยู่ระหว่าง 2.0810 ถึง 2.7860 ในระดับปริญญาตรีกับ 2.1640 ถึง 3.0105 ในระดับบัณฑิตศึกษาของวิทยาเขตประสานมิตร และ 2.1445 ถึง 2.9405 ในระดับปริญญาตรี กับ 2.0265 ถึง 2.6050 ในระดับบัณฑิตศึกษาของวิทยาเขตภาคใต้ แสดงว่าทั้งสองวิทยาเขตต่างมีเจตคติต่อมหาวิทยาลัยตั้งแต่ระดับน้อยคือไม่ดี ถึงระดับมากคือดี โดยวิทยาเขตประสานมิตรทั้งระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษามีเจตคติที่ดีต่อมหาวิทยาลัยคือด้านอาจารย์ ผู้บริหารและการเรียนการสอน ตามลำดับ และเจตคติที่ไม่ดีต่อมหาวิทยาลัยคือด้านอาคารสถานที่ และการบริการ ตามลำดับ เช่นเดียวกับนิสิตในวิทยาเขตภาคใต้ทั้งระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษามีเจตคติที่ดีต่อมหาวิทยาลัยคือด้านอาจารย์ ผู้บริหารและการเรียนการสอน ตามลำดับ ส่วนเจตคติที่ไม่ดีต่อมหาวิทยาลัยนั้นคือด้านการบริการ น้อยที่สุด และจึงเป็นด้านอาคารสถานที่ แต่เมื่อพิจารณารวมทุกด้านทั้งสองวิทยาเขตในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา มีเจตคติต่อมหาวิทยาลัยอยู่ในระดับคะแนน 2.3823 ถึง 2.6058 โดยนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาของวิทยาเขตประสานมิตรมีเจตคติที่ดีสูงที่สุด รองลงมาคือนิสิตระดับปริญญาตรีของวิทยาเขตภาคใต้ ส่วนการมีเจตคติที่ไม่ดีต่อมหาวิทยาลัยมากที่สุดคือระดับบัณฑิตศึกษาของวิทยาเขตภาคใต้ แล้วจึงเป็นปริญญาตรีของวิทยาเขตประสานมิตร
สำหรับการกระจายของคะแนนของข้อมูลนั้นจะพิจารณาจากค่าคะแนนเบี่ยงเบนมาตรฐานมาตรฐาน ซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง 0.3315 ถึง 0.5385 แสดงว่ามีการกระจายคะแนนน้อย นั่นคือกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเจตคติต่อมหาวิทยาลัยใกล้เคียงกัน
ตัวอย่างที่ 2
เรื่อง : การพัฒนาโมเดลลิสเรลในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
ผู้วิจัย : นางเอื้อมพร หลินเจริญ
ปี : 2539
หน่วยงาน : ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตอนที่ 1 การนำเสนอตารางค่าสถิติพื้นฐาน
1.2 ตารางค่ามัชฌิมเลขคณิต ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (sd) ค่าความเบ้ (Skewness) และค่าความโด่ง (Kurtosis) ของตัวแปรสังเกตได้ที่ใช้ในการศึกษาโมเดลการศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์
ตาราง 2 ค่ามัชฌิมเลขคณิต ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (sd) ค่าความเบ้ (Skewness) และค่าความโด่ง (Kurtosis) ของตัวแปรสังเกตได้ที่ใช้ในการศึกษาโมเดลการศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์
ตัวแปร |
คะแนนเต็ม |
|
sd |
Skewness |
kurtosis |
กลุ่มตัวแปรคุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ |
|
|
|
|
|
กลุ่มตัวแปรคุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ |
|
|
|
|
|
กลุ่มตัวแปรลักษณะนักเรียน ความสามารถเชิงเหตุผล ลักษณะนิสัยในการเรียน พื้นฐานความรู้เดิม |
|
|
|
|
|
กลุ่มตัวแปรสภาพแวดล้อมทางครอบครัว ระดับการศึกษาของบิดามารดา การสนับสนุนและส่งเสริมทางการเรียน ฐานะทางเศรษฐกิจ |
|
|
|
|
|
จากตารางแสดงค่าสถิติพื้นฐานของตัวแปรสังเกตได้ในกลุ่มตัวอย่างแฝงคุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน พบว่า ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าความเบ้ ความโด่งของตัวแปรแต่ละตัวแตกต่างกัน โดยตัวแปรความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มีค่ามัชฌิมเลขคณิตสูงกว่าตัวแปรตัวอื่น ๆ ค่าโค้งเบ้ทางลบ แสดงว่า คนส่วนใหญ่จะมีคะแนนสูงกว่าค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนตัวแปรความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และตัวแปรเจตคติเชิงวิทยาศาสร์ มีค่าโค้งเบ้ทางบวก โดยเฉพาะตัวแปรความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีค่าโค้งเบ้ทางบวกสูงมากแสดงว่าคนส่วนใหญ่มีคะแนนต่ำกว่าค่ามัชฌิมเลขคณิต และลักษณะการแจกแจงของข้อมูลไม่เป็นโค้งปกติ
เมื่อพิจารณากลุ่มตัวแปรแฝงคุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน พบว่า ค่ามัชฌิมเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าความเบ้ ความโด่งของตัวแปรแต่ละตัวไม่แตกต่างกันมากนัก โดยส่วนใหญ่จะมีค่าโค้งเบ้ทางลบ แสดงว่าคนส่วนใหญ่จะมีคะแนนสูงกว่าค่ามัชฌิมเลขคณิต ยกเว้นตัวแปรเจตคติเชิงวิทยาศาสตร์เพียงตัวเดียวมีค่าโค้งเบ้ทางบวก
ในกลุ่มตัวแปรแฝงคุณลักษณะนักเรียน ตัวแปรสังเกตได้ในกลุ่มตัวแปรแฝงนี้มีค่ามัชฌิมเลขคณิตที่ใกล้เคียงกัน การแจกแจงของตัวแปรเกือบเป็นโค้งปกติ สำหรับตัวแปรสังเกตได้ ระดับพื้นความรู้เดิมนั้นที่มีค่ามัชฌิมเลขคณิตต่ำเพราะผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยซึ่งผู้วิจัยได้ให้คะแนนเต็มเพียง 4 เท่านั้น
ในกลุ่มตัวแปรสภาพแวดล้อมทางครอบครัว ค่ามัชฌิมเลขคณิตของตัวแปรมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน การแจกแจงของตัวแปรเกือบเป็นโค้งปกติ ยกเว้นตัวแปรระดับการศึกษาของบิดามารดา ซึ่งวัดจากข้อคำถามเพียง 2 ข้อ ดังนั้นจึงทำให้ค่ามัชฌิมเลขคณิตมีค่าทางบวก แสดงว่าระดับการศึกษาของบิดามารดาของคนส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
ตัวอย่างที่ 3
เรื่อง : การเปรียบเทียบค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความถนัดทางการเรียนคำนวณจากสูตรโอเมก้า, สูตรโอเมก้าดับบลิว, สูตรเซต้า และสูตรเซต้าเค ที่ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบต่างวิธีกัน
ผู้วิจัย : เปรมฤทัย เลิศบำรุงชัย
ปี : 2544
หน่วยงาน : ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ตอนที่ 1 ค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนแบบทดสอบความถนัดทางการเรียน
การวิเคราะห์ในตอนนี้ ผู้วิจัยได้นำคะแนนของแบบทดสอบความถนัดทางการเรียนจำนวน 3 ฉบับ ไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง นำผลมาคำนวณค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความโด่ง ค่าความเบ้ และค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย ดังแสดงในตาราง 2
ตาราง 2 ค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนแบบทดสอบความถนัดทางการเรียน
แบบทดสอบ |
จำนวนข้อ |
(%) |
SD |
Ku |
Sk |
CV |
ฉบับที่ 1 |
30 |
17.36 (57.86) |
6.29 |
-.787 |
-.003 |
36.23 |
ผลการวิเคราะห์ตามตาราง 2 พบว่า แบบทดสอบความถนัดทางการเรียนด้านภาษามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.36 คิดเป็นร้อยละ 57.86 ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.29 ค่าความโด่งเท่ากับ -.787 ค่าความเบ้เท่ากับ -.003 และค่าสัมประสิทธิ์การกระจายเท่ากับ 36.23 แบบทดสอบความถนัดทางการเรียนด้านคณิตศาสตร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.04 คิดเป็นร้อยละ 50.13 ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.64 ค่าความโด่งเท่ากับ -.555 ค่าความเบ้เท่ากับ -.017 และค่าสัมประสิทธิ์การกระจายเท่ากับ 44.15 แบบทดสอบความถนัดทางการเรียนด้านเหตุผลมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.96 คิดเป็นร้อยละ 49.87 ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.09 ค่าความโด่งเท่ากับ -.557 ค่าความเบ้เท่ากับ .087 และค่าสัมประสิทธิ์การกระจายเท่ากับ 40.71